นิติรัฐ นิติธรรม คดีความเกี่ยวกับพระสงฆ์
ต่อจากนี้ไป อย่าไปฝากพระพุทธศาสนาไว้กับรัฐบาล ไม่มีหรอกที่รัฐจะคุ้มครองพระศาสนา ไม่มีหรอกที่รัฐจะปกป้องพระศาสนา นอกจากชาวพุทธต้องทำหน้าที่ปกป้องพระศาสนากันเองด้วยสติปัญญา ยิ่งนานวันพระพุทธศาสนายิ่งมีภัยมากขึ้น ทั้งภัยภายนอก ทั้งภัยภายใน จะเห็นได้ชัดจากที่รัฐบาล คสช. ใช้อำนาจเเบบเบ็ดเสร็จ และใช้คำสั่งที่ขัดหลักความยุติธรรม ดูข่าวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบหรือหน่วยคอมมานโดบุกจับพระหลายรูป หลายวัดพร้อมๆกัน สะเทือนใจชาวพุทธพอสมควร จะถูกหรือผิดอย่างไรก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม คดีเงินทอนวัดหรือคดีใช้เงินผิดวัตถุประสงค์นี้ ควรจะออกหมายเรียกก่อน มิใช่บุกจู่โจม แล้วจับพระไปฝากขังทันที การถลกจีวรพระเเบบนี้มันไม่เป็นธรรม เพราะว่าพระสงฆ์ยังไม่ได้ชี้เเจงอะไรเลย อันที่จริง เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาบางคนที่แอบหากินกับพระ ยังลอยนวล คดียังไม่เห็นคืบหน้าไปถึงไหน แต่คดีพระสงฆ์นี่ซิ เร่งรีบ เร็วจี๋ดั่งสายฟ้าแลบ..
อย่าลืมไปว่าพระสงฆ์ก็คือลูกหลานชาวบ้าน ที่ช่วยกันสืบต่ออายุพระศาสนาเป็นสมมุติสงฆ์ ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนมองพระภิกษุสงฆ์ว่าทุกรูปต้องเป็นอริยสงฆ์ ต้องปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในธรรมวินัย เเม้แต่สมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีพระสงฆ์บางรูปที่ประพฤตินอกรีตนอกธรรมวินัยเช่นกัน แต่พระองค์ก็แก้ไขปัญหาตามหลักพระธรรมวินัย ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนมองพระสงฆ์องค์เณรด้วยเหตุผล แยกแยะด้วยปัญญา มีสติ หาทางแก้ไข
อย่าแก้ใขปัญหาด้วยอคติ หรือด้วยความสะใจ คิดว่าพระกลุ่มนี้เป็นแดง กลุ่มนี้เป็นเหลือง ต้องรีบจัดการถอนรากถอนโคนให้เด็ดขาด และต่อจากนี้พระสงฆ์ก็ต้องอยู่ด้วยสติ ไม่ประมาท เรียนกฎหมายกันให้มากๆ รู้หลักกฎหมายไว้แก้ต่างให้ตัวเองเวลามีคดีความเกิดขึ้น และให้มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองเเห่ง คือ มจร.และ มมร.เปิดหลักสูตรนิติศาสตร์ เพื่อให้พระสงฆ์สามเณรและชาวพุทธได้เรียนรู้กฎหมายกัน เพราะยุคนี้เขาออกกฎหมายมาบีบบังคับพระสงฆ์ให้อยู่ยากยิ่งขึ้นและสุดท้ายคนที่จะมาบวชก็ไม่มี พระพุทธศาสนาก็จะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย...ดังนั้นชาวพุทธต้องรู้เท่ารู้ทันรู้กันรู้แก้ สามัคคีกันไว้ รักกันให้มาก เพื่อปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาด้วยตัวเอง..